ความคิดเห็นของผู้คนในประเทศสหรัฐฯ ต่อความจำเป็นในการรับวัคซีนบูสเตอร์รุ่นใหม่ยังคงมีความหลากหลาย โดยวัคซีนบูสเตอร์ดังกล่าวเป็นวัคซีนไบวาเลนท์ (Bivalent) มุ่งเป้าไปยังเชื้อไวรัสโควิด-19 ดั้งเดิมอย่าง SARS-CoV-2 รวมไปถึงสายพันธุ์ย่อยทั้ง Omicron BA.4 และ BA.5 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ระบาดหนักในอเมริกาตอนนี้
โคบี แอนดรูส์ นักศึกษาด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ในกรุงวอชิงตัน แสดงความเห็นว่า “มหาวิทยาลัยหลายแห่งกำลังเผชิญกับตัวเลขผู้ติดเชื้อที่สูงขึ้น การได้รับวัคซีนกระตุ้นภูมิ หรือ บูสเตอร์ อาจจะเป็นทางออกของสถานการณ์นี้”
แต่ทรินิตี้ เทอร์เนอร์ นักศึกษาพยาบาลในกรุงวอชิงตัน กลับมองตรงกันข้าม เธอกล่าวว่า “ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องได้รับวัคซีนบูสเตอร์เพิ่มเติม โดยหวังว่าระดับภูมิคุ้มกันจากการได้รับวัคซีนครั้งก่อน ๆ น่าที่จะยังมีประสิทธิภาพอยู่”
ในเขตพื้นที่ของกรุงวอชิงตัน เมืองหลวงของประเทศสหรัฐฯ มีรายงานผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นราว 200 คนต่อวัน และคาดว่าตัวเลขดังกล่าวอาจจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในฤดูใบไม้ร่วงนี้ ในช่วงที่นักเรียนและนักศึกษากลับเข้าชั้นเรียน ส่งผลให้หน่วยงานด้านสาธารณสุขในกรุงวอชิงตัน กระตุ้นให้ทุกคนที่มีสิทธิ์เข้ารับวัคซีนบูสเตอร์
นายแพทย์ โธมัส ฟาร์เลย์ จากกระทรวงสาธารณสุขกรุงวอชิงตัน อธิบายว่า “วัคซีนตัวล่าสุดจะมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อย จากวัคซีนชนิดเดิมที่ใช้งานมานานกว่า 2 ปี และมีหลายร้อยล้านคนทั่วโลกที่เข้าถึงวัคซีนตัวดังกล่าว แต่ถือเป็นความแตกต่างอย่างมีนัยยะสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ เพราะจะเข้าไปประกบกับเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ที่แพร่ระบาดในขณะนี้”
อย่างไรก็ตาม การรับรองวัคซีนบูสเตอร์รุ่นใหม่สำหรับเชื้อโอมิครอนของหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ อย่างรวดเร็ว โดยที่ยังไม่ผ่านการทดลองกับมนุษย์ ได้สร้างความกังวลกับบางส่วน แต่ทางด้านผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าวัคซีนนี้มีความปลอดภัย
นายแพทย์ เจสซี กู้ดแมน อดีตหัวหน้านักวิทยาศาสตร์จากสำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ หรือ FDA ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว VOA ว่า “ถ้าถามว่าเรากำลังเป็นหนูทดลองหรือไม่? หรือมันจะเกิดปัญหาหลังเข้ารับวัคซีนหรือไม่? คำตอบคือไม่ ผมเชื่อว่าหน่วยงานด้านสาธารณสุขพยายามจะสร้างสมดุลด้านประโยชน์กับความเสี่ยงด้านวัคซีนอยู่”
นายแพทย์ พอลล์ โอฟฟิท สมาชิกคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านวัคซีนของ FDA ให้ความเห็นที่สอดคล้องว่า “วัคซีนชนิดไบวาเลนท์ หรือประเภท 2 สายพันธุ์ น่าที่จะมีผลข้างเคียงที่ไม่ต่างจากวัคซีน mRNA ที่ใช้งานอยู่ในขณะนี้”
ทางด้านเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกล่าวถึงความจำเป็นของวัคซีนบูสเตอร์ในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยชี้ว่าหากผู้คนได้รับวัคซีนดังกล่าวในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ จะสามารถป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงของประชาชนนับแสนคน อีกทั้งยังจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ ได้มากถึงหลายพันล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ย้ำว่า แม้จะได้รับวัคซีนบูสเตอร์แล้ว แต่ทุกคนจะต้องไม่ประมาท
จอห์น มัวร์ อาจารย์ด้านจุลชีววิทยาและภูมิคุ้มกัน จากมหาวิทยาลัยคอร์แนล กล่าวเตือนว่า “หากคนในสังคม มีความเชื่อว่าวัคซีนบูสเตอร์รุ่นใหม่มีความแข็งแกร่งมาก อาจทำให้พวกเขาเกิดความประมาทและใช้ชีวิตที่เสี่ยงมากขึ้น จนนำไปสู่สถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์”
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการกระจายวัคซีนไปสู่ประเทศที่มีรายได้ปานกลางและรายได้น้อย กำลังจับตาความเคลื่อนไหวเรื่องวัคซีนบูสเตอร์ที่เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด
เดอร์ริค ซิม จากองค์กรพันธมิตรเพื่อวัคซีนกาวิ (Gavi) หนึ่งในองค์กรสำคัญของโครงการวัคซีนโคแวกซ์ ให้ความเห็นต่อภาพรวมของการกระจายวัคซีนบูสเตอร์ว่า “เมื่อมีวัคซีนสูตรปรับปรุงมุ่งเป้าโควิดกลายพันธุ์ชนิดใหม่เกิดขึ้น องค์กรจำเป็นที่จะต้องตรวจสอบให้แน่ใจ ว่าทุกประเทศที่ต้องการ สามารถเข้าถึงวัคซีนเหล่านี้ได้ ในเวลาที่เหมาะสม เพราะการที่วัคซีนบูสเตอร์นำมาแจกจ่ายเฉพาะในประเทศที่มีรายได้สูง จะไม่ช่วยทำให้การระบาดของไวรัสสายพันธุ์ต่าง ๆ หมดไป”
ปัจจุบันนี้ราว 83% ของประเทศที่ได้รับความช่วยเหลือจากโครงการวัคซีนโคแวกซ์ มีการใช้งานวัคซีนบูสเตอร์รุ่นดั้งเดิมในกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูง และในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ทางองค์การอนามัยโลกจะตรวจสอบข้อมูลและประสิทธิภาพของวัคซีนบูสเตอร์รุ่นใหม่ ก่อนที่จะประกาศแนะนำให้ใช้ทั่วโลก ในลำดับต่อไป
- ที่มา: VOA