วันนี้ (13 ก.พ. 68) เวลา 14.30 น. พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี เป็นประธานเชิญผ้าขาวพระราชทาน จำนวน 22 ม้วน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานในงานบุญประทายข้าวเปลือก ประจำปี 2568 ถวายแด่พระอธิการปรีดา ฉนฺทกโร (หลวงปู่ทุย) เจ้าอาวาสวัดป่าดานวิเวก ณ วัดป่าดานวิเวก ต.ศรีชมภู อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ โดยนายอำพน กิตติอำพน องคมนตรี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทยในฐานะกรรมการโครงการพุทธสถานทรัพยากรเฉลิมพระเกียรติวัดป่าดานวิเวก ในพระบรมราชูปถัมภ์ พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นางสุพร ตรีนรินทร์ เลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ นายจุมพฏ วรรณฉัตรสิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ พร้อมด้วยข้าราชการตุลาการ ทหาร ตำรวจ และพุทธศาสนิกชน ร่วมในพิธี
จากนั้น ในเวลา 15.30 น. พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี เชิญถุงพระราชทาน จำนวน 210 ชุด มอบให้แก่ผู้นำชุมชน และผู้ทำประโยชน์ให้กับวัดป่าดานวิเวก ณ โรงเรียนบ้านนาขาม ต.ศรีชมภู อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ
พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี กล่าวว่า นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าด้วยกระหม่อมที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานผ้าขาว และถุงพระราชทาน ในงานบุญประทายข้าวเปลือก ประจำปี 2568 ของวัดป่าดานวิเวก ซึ่งได้เชิญผ้าขาวพระราชทานไปถวายหลวงพ่อทุยในช่วงบ่ายที่ผ่านมาแล้ว
“นับว่าทุกท่านได้มีส่วนร่วมในการทำบุญประทายข้าวเปลือกร่วมกันในวันนี้ หลังจากวันมาฆบูชาซึ่งถือเป็นวันพระใหญ่ ที่พวกเราชาวพุทธต่างก็ระลึกถึงว่าเป็น “วันพระใหญ่” ที่พระสงฆ์กระทำปาฏิโมกข์อันมีความสำคัญยิ่ง เพราะหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ที่เป็นโอวาทปาฏิโมกข์นั้น ก็ได้มีคำสอนสั้น ๆ ว่า “ละความชั่ว ทำความดี ทำใจให้บริสุทธิ์” ซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา แต่ความสำคัญของพระพุทธศาสนา คือ ต้องลงมือปฏิบัติ เราต้องลงมือทำ ต้องลงมือละความชั่ว ต้องลงมือทำความดี และต้องลงมือทำใจให้บริสุทธิ์ คำว่าทำใจให้บริสุทธิ์ หมายความว่า ละความโกรธ ความโลภ ความหลง” อันเป็นหนทางที่จะทำให้เราพ้นจากทุกข์ในทางพระพุทธศาสนา“
พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า บางครั้งเราก็ไปบนบานศาลกล่าว ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาช่วย แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านจะมาช่วยเราก็ต่อเมื่อ เราช่วยตัวเราเองก่อน นั่นก็คือสิ่งที่พระพุทธองค์ได้ทรงสั่งสอนไว้ คือ เราต้องทำเอง ผลของเรา อย่างที่พระพุทธองค์ท่านทรงสอนไว้ถึงสิ่งที่เรียกว่า “กฎแห่งกรรม” เราทำดีเราก็ได้ผลตอบแทนที่ดี เราทำชั่วผลร้ายก็จะมาสู่เรา เป็นสิ่งที่เราเรียกว่าเป็น “สัจธรรม” เป็นความจริงแท้ที่พวกเราทุกคนตระหนักรู้ และต้องกระทำตนให้พ้นจากสิ่งที่ไม่ดีไม่งามต่าง ๆ ทำแต่สิ่งที่ดี ซึ่งในวันนี้ก็เป็นวันที่เหมาะที่จะพูดกัน ในเรื่องของการปฏิบัติตน ตามคำสอนของพระพุทธองค์ เพราะเป็นการทำบุญอย่างแท้จริง แม้ว่าการทำบุญโดยการให้ทานนั้นก็เป็นสุข แต่การทำบุญด้วยการปฏิบัติอย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว เป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะความดีก็จะเกิดขึ้นแก่ตนเอง
ทั้งนี้ ความหมายของคำว่า ประทาย หรือ คูณลานประทาย แปลว่า เจดีย์ทราย หรือการเอาสิ่งที่คล้ายกันมากองเป็นเจดีย์ เช่น ประทายข้าว ก็คือการเอาข้าวเปลือกมากองกันเป็นเจดีย์ คูณลาน หมายความว่า เพิ่มเข้าให้เป็นทวีคูณ หรือทำให้มากขึ้น ส่วนคำว่าว่า “ลาน” คือสถามที่สำหรับนวดข้าว การนำข้าวที่นวดแล้วกองขึ้นให้สูง เรียกว่า “คูณลาน”
มูลเหตุดั้งเดิมที่จะมีการทำบุญคูณลาน มีเรื่องเล่าว่า ครั้งพุทธศาสนาของพระกัสสะปะ มีชายสองคนพี่น้องทำนาในที่เดียวกัน พอข้าวออกรวงเป็นน้ำนม น้องชายได้ชวนพี่ชายทำข้าวมธุปายาสถวายพระสงฆ์ แต่พี่ชายไม่เห็นชอบด้วย ทั้งสองพี่น้องจึงแบ่งนากันคนละส่วน เมื่อน้องชายได้เป็นเจ้าของที่นาที่แบ่งกันแล้ว จึงได้ถวายทานแด่พระสงฆ์ตามความพอใจ โดยทำบุญเป็นระยะถึง 9 ครั้ง นับแต่เวลาข้าวเป็นน้ำนม ก็ทำข้าวมธุปายาสถวายครั้งหนึ่ง เวลาข้าวพอเม่า ก็ทำข้าวเม่าถวายครั้งหนึ่ง เวลาจะลงมือเก็บเกี่ยวก็ถวายทานครั้งหนึ่ง เวลามัดข้าวทำเป็นฟอนก็ถวายทานครั้งหนึ่ง เวลาขนข้าวเข้าลานก็ถวายทานครั้งหนึ่ง และเวลาเก็บข้าวใส่ยุ้งฉางเสร็จก็ทำบุญอีกครั้งหนึ่ง และตั้งปณิธานปรารถนาให้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในอนาคต พอถึงพุทธศาสนาของพระสมณโคคมถึงได้เกิดเป็นโกณฑัญญะ ได้ออกบวชและสำเร็จพระอรหันต์เป็นเป็นสาวกได้ชื่อว่า “อัญญาโกณฑัญญะ” ส่วนพี่ชายได้ทำบุญเพียงครั้งเดียวเฉพาะตอนทำนาเสร็จแล้ว เมื่อถึงศาสนาพระสมณโคดม ได้เกิดเป็นสุภัททปริพาชก ได้สำเร็จอนาคามิผลเป็นพระอริยบุคคลองค์สุดท้ายในพระพุทธศาสนา เนื่องจากอานิสงส์จากให้ข้าวเป็นทานน้อยกว่าน้องชาย ชาวอีสานเมื่อทราบอานิสงส์จากการทำบุญดังกล่าว จึงได้นิยมทำบุญคูณลานต่อ ๆ กันมา
แหล่งที่มา: ข่าวกระทรวงด้านความมั่นคง